การศึกษาสภาพปัญหาการเข้าสู่ตลาดแรงงานของแรงงานไทยในไต้หวัน
Item
ชื่อเรือง
การศึกษาสภาพปัญหาการเข้าสู่ตลาดแรงงานของแรงงานไทยในไต้หวัน
ชื่อเรื่องรอง
A Study in the Problems of Thai Labourers in Taiwan's Labour Markct.
ผู้แต่ง
เกศสุรางค์ แสงสว่าง
หัวเรื่อง
แรงงาน--ไทย
แรงงาน--ไต้หวัน
รายละเอียดอื่นๆ
การศึกษาวิจัยเรื่อง "การศึกษาสภาพและ ปัญหาการเข้าสู่ตลาดแรงงานของเรงงานไทยในไต้หวัน" มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาในการไปทำงานที่ไต้หวันของ แรงงานไทย เพื่อเสนอแนวทางในการป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบของแรงงานไทยที่ไปทำงานที่ไต้หวัน ตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยเป็นแรงงานไทยที่ไปทำงานที่ไต้หวันแล้วกลับมาร้องทุกข์ กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ (กรมการจัดหางาน) โดยเก็บข้อมูลจากฝ่ายรับเรื่องและวินิจคำร้องทุกข์ กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน จำนวนทั้งสิ้น 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม และสัมภาษณ์แบบเจาะลึก มีทั้งหมด 6 ส่วน วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยสถิติค่าร้อยละ ( Percentage) และเป็นการบรรยายเชิงพรรณา (Descriptive Method)
ผลการศึกษา
แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานที่ไต้หวันแล้วกลับมาร้องทุกข์ ส่วนใหญ่เป็นแรงงานไทยเพศชาย มีอายุระหว่าง 21-30 ปี มีการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6 เซ็นสัญญากับบริษัท จัดหางานเป็นระยะเวลา 2 ปี และไปทำงานในตำแหน่งกรรมกร ปัญหาที่เกิดขึ้นกับแรงงานไทยจนต้องเดินทางกลับจากไต้หวันแล้วมาร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน ส่วนใหญ่เป็นปัญหางานหมดขณะสัญญาจ้างยังไม่ครบกำหนด ลำดับต่อมา ไปแล้วไม่มีงานให้ทำตามสัญญา ตำแหน่งงานในไต้หวันไม่ตรงตามสัญญานายจ้างส่งกลับเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้าง จากแนวความคิดในการบังคับใช้ พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ฯ ในการควบคุมบริษัทจัดหางาน พบว่า แรงงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 65 มีความเข้าใจเนื้อหารายละเอียดของ พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ฯ น้อย จึงอนุมานได้ว่าเป็น เหตุให้แรงานไทยถูกเอารัดเอาเปรียบในส่วนการบังคับใช้ พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528ฯ คุ้มครองคนหางาน พบว่า มีแรงงานไทยเพียง ร้อยละ 45 คิดว่า พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองจนหางาน พ.ศ.2528ฯ สามารถให้ความคุ้มครองแรงงานไทยได้จึงอนุมานได้ว่าเป็นสาเหตุให้แรงงานไทยถูกเอารัดเอาเปรียบจากแนวความคิดการบริหารจัดการ
ที่ดีของรัฐ (กรมการจัดหางาน)ในการส่งเสริมการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ไต้หวัน พบว่า ส่งเสริมการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ไต้หวันโดยให้บริษัทเข้ามาแข่งขันดำเนินธุรกิจไม่ เหมาะสม และแรงงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 70 คิดว่าการให้บริการของรัฐไม่เพียงพอต่อความต้องการของแรงงานไทย สำหรับการให้ความช่วยเหลือของรัฐ (กรมการจัดหางาน) แรงงานไทยเพียง ร้อยละ 55 ทราบว่ารัฐ (กรมการจัดหางาน) มีการให้บริการช่วยเหลือแรงงานไทย จึงอนุมานได้ว่าเป็นเหตุให้แรงงานไทยถูกเอารัดเอาเปรียบ
จากแนวความคิดการบริหารจัดการการจัดส่งรงงานไทยไปทำงานที่ไต้หวันที่ดีของบริษัทจัดหางาน พบว่า แรงงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 100 คิดว่าบริษัทจัดหางานไม่ปฏิบัติตาม กฎระเทียบของรัฐ แรงงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 70 คิดว่าบริษัทจัดหางานไม่มีความโปร่งใสในการบริหารจัดการ แรงงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 85 คิดว่าการเรียกเก็บค่าบริการและ คำใช้จ่ายไม่ยุติธรรม แรงงานไทย ร้อยละ 100 คิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับแรงงานไทยเกิดจากบริษัทจัดหางาน จึงอนุมานได้ว่าเป็นเหตุให้แรงงานไทยถูกเอารัดเอาเปรียบ
จากแนวความคิดการรับรู้ภารกิจและกิจกรรมในการ ไปทำงานที่ไต้หวันของแรงงานไทย พบว่า มีแรงงานไทยเพียง ร้อยละ 20 รับทราบข้อมูลการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ จากสื่อของรัฐ (กรมการจัดหางาน) แต่ แรงงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 90 รับทราบถึงข้อระบุ ในสัญญาส่วนค่าบริการและค่าใช้จ่าย แรงงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 75 เข้าใจว่าการ ไปทำงาน ที่ไต้หวันต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่า 56,000 บาท และแรงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 75 ไม่ทราบว่าการเดินทางไปทำงานที่ไต้หวันมีระเบียบกำหนดค่าบริการและค่าใช้จ่ายไว้ไม่เกิน 56,000 บาท จึงอนุมานได้ว่าเป็นเหตุให้แรงงานไทยถูกเอารัดเอาเปรียบ แรงานไทยต้องการมาตรการป้องกันการเอารัดเอาเปรียบดังนี้
1. ต้องการให้มีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการไปทำงานที่ไต้หวัน เพราะสาขาหรือนายหน้าชอบอ้างชื่อนักการเมืองในการสร้างความน่าเชื่อถือ
2. ต้องการให้รัฐมีมาตรการในเรื่องของค่าหัว (ค่าบริการและค่าใช้จ่าย) ที่ชัดเจนและเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย
3. มีมาตรการบังคับให้บริษัทจัดหางานคืนเงินและโฉนดที่ดินของแรงงานไทย
4. มีมาตรการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ (กระทรวงแรงงาน) ที่ประจำอยู่ไต้หวันได้เข้าไปตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นกับแรงงานไทย
5. ต้องการให้มีมาตรการบังคับให้บริษัทจัดหางานมีความจริงใจและมีคุณธรรมต่อการดำเนินธุรกิจจัดหางาน
ผลการศึกษา
แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานที่ไต้หวันแล้วกลับมาร้องทุกข์ ส่วนใหญ่เป็นแรงงานไทยเพศชาย มีอายุระหว่าง 21-30 ปี มีการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6 เซ็นสัญญากับบริษัท จัดหางานเป็นระยะเวลา 2 ปี และไปทำงานในตำแหน่งกรรมกร ปัญหาที่เกิดขึ้นกับแรงงานไทยจนต้องเดินทางกลับจากไต้หวันแล้วมาร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางาน ส่วนใหญ่เป็นปัญหางานหมดขณะสัญญาจ้างยังไม่ครบกำหนด ลำดับต่อมา ไปแล้วไม่มีงานให้ทำตามสัญญา ตำแหน่งงานในไต้หวันไม่ตรงตามสัญญานายจ้างส่งกลับเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้าง จากแนวความคิดในการบังคับใช้ พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ฯ ในการควบคุมบริษัทจัดหางาน พบว่า แรงงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 65 มีความเข้าใจเนื้อหารายละเอียดของ พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ฯ น้อย จึงอนุมานได้ว่าเป็น เหตุให้แรงานไทยถูกเอารัดเอาเปรียบในส่วนการบังคับใช้ พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528ฯ คุ้มครองคนหางาน พบว่า มีแรงงานไทยเพียง ร้อยละ 45 คิดว่า พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองจนหางาน พ.ศ.2528ฯ สามารถให้ความคุ้มครองแรงงานไทยได้จึงอนุมานได้ว่าเป็นสาเหตุให้แรงงานไทยถูกเอารัดเอาเปรียบจากแนวความคิดการบริหารจัดการ
ที่ดีของรัฐ (กรมการจัดหางาน)ในการส่งเสริมการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ไต้หวัน พบว่า ส่งเสริมการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ไต้หวันโดยให้บริษัทเข้ามาแข่งขันดำเนินธุรกิจไม่ เหมาะสม และแรงงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 70 คิดว่าการให้บริการของรัฐไม่เพียงพอต่อความต้องการของแรงงานไทย สำหรับการให้ความช่วยเหลือของรัฐ (กรมการจัดหางาน) แรงงานไทยเพียง ร้อยละ 55 ทราบว่ารัฐ (กรมการจัดหางาน) มีการให้บริการช่วยเหลือแรงงานไทย จึงอนุมานได้ว่าเป็นเหตุให้แรงงานไทยถูกเอารัดเอาเปรียบ
จากแนวความคิดการบริหารจัดการการจัดส่งรงงานไทยไปทำงานที่ไต้หวันที่ดีของบริษัทจัดหางาน พบว่า แรงงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 100 คิดว่าบริษัทจัดหางานไม่ปฏิบัติตาม กฎระเทียบของรัฐ แรงงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 70 คิดว่าบริษัทจัดหางานไม่มีความโปร่งใสในการบริหารจัดการ แรงงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 85 คิดว่าการเรียกเก็บค่าบริการและ คำใช้จ่ายไม่ยุติธรรม แรงงานไทย ร้อยละ 100 คิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับแรงงานไทยเกิดจากบริษัทจัดหางาน จึงอนุมานได้ว่าเป็นเหตุให้แรงงานไทยถูกเอารัดเอาเปรียบ
จากแนวความคิดการรับรู้ภารกิจและกิจกรรมในการ ไปทำงานที่ไต้หวันของแรงงานไทย พบว่า มีแรงงานไทยเพียง ร้อยละ 20 รับทราบข้อมูลการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ จากสื่อของรัฐ (กรมการจัดหางาน) แต่ แรงงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 90 รับทราบถึงข้อระบุ ในสัญญาส่วนค่าบริการและค่าใช้จ่าย แรงงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 75 เข้าใจว่าการ ไปทำงาน ที่ไต้หวันต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่า 56,000 บาท และแรงานไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 75 ไม่ทราบว่าการเดินทางไปทำงานที่ไต้หวันมีระเบียบกำหนดค่าบริการและค่าใช้จ่ายไว้ไม่เกิน 56,000 บาท จึงอนุมานได้ว่าเป็นเหตุให้แรงงานไทยถูกเอารัดเอาเปรียบ แรงานไทยต้องการมาตรการป้องกันการเอารัดเอาเปรียบดังนี้
1. ต้องการให้มีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการไปทำงานที่ไต้หวัน เพราะสาขาหรือนายหน้าชอบอ้างชื่อนักการเมืองในการสร้างความน่าเชื่อถือ
2. ต้องการให้รัฐมีมาตรการในเรื่องของค่าหัว (ค่าบริการและค่าใช้จ่าย) ที่ชัดเจนและเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย
3. มีมาตรการบังคับให้บริษัทจัดหางานคืนเงินและโฉนดที่ดินของแรงงานไทย
4. มีมาตรการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ (กระทรวงแรงงาน) ที่ประจำอยู่ไต้หวันได้เข้าไปตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นกับแรงงานไทย
5. ต้องการให้มีมาตรการบังคับให้บริษัทจัดหางานมีความจริงใจและมีคุณธรรมต่อการดำเนินธุรกิจจัดหางาน
ผู้จัดพิมพ์/สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ผู้ร่วมสร้างรรค์ ผู้ร่วมงาน
นงลักษณ์ เทพสวัสดิ์
สุพิศวง ธรรมพันทา
บุปผา แช่มประเสริฐ
วันที่ ปีที่จัดพิมพ์
2547
วันที่ผลิต วันที่จัดทำ
2021-08-09 06:57:07
วันที่ปรับปรุงข้อมูล
2021-08-09 06:57:07
ประเภท
thesis
รูปแบบ
application/pdf
แหล่งที่มา
วน 331.1 ก773ก 2547
ภาษา
tha
ลิขสิทธิ์
มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
Degree (name, level, descipline, grantor)
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
ปริญญาโท
สังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา
มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
วันที่ใช้งาน
2547
isbn
974-373-370-1
คอลเลกชั่น
เกศสุรางค์ แสงสว่าง . (2547). การศึกษาสภาพปัญหาการเข้าสู่ตลาดแรงงานของแรงงานไทยในไต้หวัน. มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา. สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ, คลังข้อมูลดิจิทัล สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ, accessed September 17, 2025, http://dlib.bsru.ac.th/s/library/item/888